เคยสงสัยไหมว่าทีมฟุตบอลดังอย่างปีศาจแดงที่ได้ เจ้าของสโมสรแมนยู คนใหม่เข้ามาช่วยบริหารและจากที่ครั้งหนึ่งทีมนี้เคยเป็น Kingmaker ทีมดังในพรีเมียร์ลีก ที่ต้องบอกว่าเคยดังกว่า ตำนานลิเวอร์พูล และ นักเตะเยอรมัน แต่พอมาถึงวันนี้ สโมสร แมน ยู กลับค่อยๆ ตกต่ำลงซึ่งเรื่องนี้เราดูจากผลงานที่อยู่ในอันดับที่ 8 ของตารางนั่นเอง เรียกว่าเป็นอันดับที่สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟน ๆ เป็นอย่างมาก ตื่นเต้นไม่แพ้การติดตาม หวยออกวันพฤหัสบดี 16/5/67 เลยนะ
ในสมัยที่ทีมนี้เขาอยู่ในยุคที่รุ่งเรืองอย่างตอนที่เซอร์ Alex Ferguson เคยเป็นผู้จัดการทีมตอนนั้นเป็นช่วงที่ถือว่าเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองของทีมก็ว่าได้ จากผลงานที่สามารถครองแชมป์พรีเมียร์ลีกไปได้ถึง 13 สมัย ถ้วยเอฟเอคัพอีก 5 สมัย ซึ่งพอมาถึงวันนี้หลายฝ่ายก็คงจะให้ความเห็นว่ามันมาจากการบริหารที่ผิดพลาดของ Leveraged buyout (LBO)
Leveraged buyout (LBO) ที่ทำให้ เจ้าของสโมสรแมนยู ต้องกลับมาคิดใหม่
ก่อนอื่นเราควรจะต้องมารู้จัก Leveraged buyout (LBO) กันก่อนเลยนะคะ เพราะเจ้าระบบนี้มันก็คือเครื่องมือทางด้านการเงินที่เป็นการซื้อกิจการโดยที่ผู้ซื้อไม่จำเป็นจะต้องควักเงินที่มีอยู่ออกมาซะทั้งหมด ตัวอย่างเช่นถ้าหากว่าต้องการจะซื้อกิจการนั้นที่ราคา 100.- บาท
ผู้ซื้อจะจ่ายเงินสดไปแค่เพียงบางส่วนเท่านั้นและส่วนที่เหลือส่วนอื่นก็จะเอาสินทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งหมดของบริษัทหรือว่าของสโมสรนำไปเป็นหลักประกันในการกู้เงินที่มาจากสถาบันการเงิน ซึ่งเจ้าของทีมหรือบริษัทก็จะทำการรับผิดชอบในส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นค่ะ
ครอบครัว เกลเซอร์ แมนยู เริ่มจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ใช่แล้วค่ะ ทีมแมนยู ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตอนปี 2003 โดยมีครอบครัวที่เป็น เจ้าของแมนยู ในตอนนั้นถือหุ้นอยู่ 9 ล้านปอนด์ ทำให้สัดส่วนในการถือหุ้นของพวกเขาก็จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นแค่ 2.9 % เท่านั้นจำเป็นที่พวกเขาจะต้องกว้านซื้อหุ้น ของแมนยู เพื่อจะให้ได้ถึง 76.2 % ที่เป็นไปตามกฎของตลาดหลักทรัพย์
คือให้ผู้ที่ถือหุ้นเกิน 75% เพื่อจะได้ถอดถอนหุ้นออกจากตลาด ซึ่งตอนนั้นทางครอบครัวของเกลเซอร์ได้เสนอหุ้นอยู่ที่หุ้นละ 300 เพนนีทำให้มูลค่าทั้งหมดของหุ้นก็จะอยู่ที่ 790 ล้านปอนด์ซึ่งงานนี้พวกเขาจะต้องควักเงินออกมาเพียงแค่ 200 ล้านปอนด์เท่านั้น และเงินส่วนที่เหลือก็คือเป็นการกู้มาจากสถาบันการเงินซึ่งมีอัตราของดอกเบี้ยอยู่ที่ 14.25-16.25% เรียกได้ว่าเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลยทีเดียว และนี่ก็คือเค้าลางของความเสียหายมาเยือน
ทำให้เจ้าของแมนยูต้องควักจ่ายดอกเบี้ยมากถึง 743 ล้านปอนด์
จากการที่ต้องจ่ายเงินดอกเบี้ยเป็นจำนวนมหาศาลถึง 743 ล้านปอนด์ก็ทำให้ทราบว่าตั้งแต่ปี 2010-2022 งานนี้ทำให้เจ้าของที่อยู่ในครอบครัวของเกลเซอร์ทั้งหกคนที่เป็นคณะกรรมการขององค์กรนั้นได้ค่า director fee ไปถึง 50 ล้านปอนด์ทำให้ในช่วงเจ็ดปีนั้นครอบครัวเกลเซอร์ได้เงินปันผลไปถึง 166 ล้านปอนด์
ซึ่งถ้าหากว่าเราจะมองกันในภาพรวม เจ้าของแมนยู อย่างตระกูลเกลเซอร์ก็จะได้เงินรวมไปทั้งสิ้นที่ 1.1 พันล้านปอนด์ และแทนที่พวกเขาจะนำเอาเงินเหล่านั้นมาลงทุนในการพัฒนาสโมสรต่อ ซึ่งนอกเหนือจากการที่ต้องปรับปรุงสนามจริงและสนามซ้อมแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้ทำแบบนั้นเลย ทำให้เงินที่มีอยู่ซึ่งนับได้ว่ามันคือน้ำมันหล่อลื่นที่ใช้หล่อเลี้ยงทีมเกิดสะดุด
และมีครั้งหนึ่งเคยมีผู้จัดอันดับว่ามีเจ้าของทีมไหนกันบ้างที่ต้องใช้เงินลงทุนพัฒนาสโมสรซึ่งปรากฎว่า เจ้าของแมนยู นั้นอยู่อันดับสุดท้ายของทีมที่อยู่ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งมีรายงานว่าตอนนั้นทีมใหญ่เช่นกันอย่างแมนซิตี้ เจ้าของเขาต้องใช้เงินลงทุนถึง 684 ล้านปอนด์ ในขณะที่ทางทีมเชลซี เจ้าของทีมของพวกเขาก็ต้องใช้เงินลงทุนไปถึง 516 ล้านปอนด์และเป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นตอน 2012-2021 ค่ะ ทำให้หลายคนในวงการต่างก็บอกว่าตระกูลดังนี้ใช้บุญเก่าในการบริหารสโมสร
สโมสร แมน ยู กลายเป็นองค์กรที่มีเงินกู้เกินตัว
หรือจะพูดกันง่ายๆ ก็คือเมื่อ ทีมแมนยู กลายเป็นองค์กรที่มีเงินกู้ที่เกินตัว แถมยังมีความเสี่ยงในการรับผิดชอบหนี้สินที่ เจ้าของแมนยูคนเก่า ได้นำเอาทรัพย์สินของแมนยูเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่นิวยอร์ค ทำให้มูลค่า IPO ได้เงินมาทั้งสิ้น 150 ล้านปอนด์ ครึ่งหนึ่งก็เอาไปใช้หนี้ส่วนที่เหลือก็เข้าพกเข้าห่อตัวเอง ในตอนที่ไปกู้ช่วงแรกๆ นั้น มันคือความรับผิดชอบที่ร่วมมือกันใช้หนี้จากตระกูลเกลเซอร์ร่วมกับเงินของสโมสร ทั้งหมดนี้คือ การบริหารของตระกูลเกลเซอร์ ที่ถือว่าผิดพลาด
ถ้ายังจำกันได้ตอนเดือน พ.ย. 2022 ทางครอบครัวเกลเซอร์ประกาศขายทีม และตอนนั้นก็มีอยู่สองรายที่ถือว่าเป็นคนรวยของอังกฤษอย่าง Jim Ratcliffe และมหาเศรษฐีจากการ์ต้าอย่าง Shiekh Jassim แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทำไมถึงยืดเยื้อนัก น่าจะเป็นเพราะว่าพวกเขาประมูลกันที่ ประมาณ 5พันล้านปอนด์แต่ทาง เจ้าของเก่าอยากจะได้ที่ 7 พันล้านปอนด์ขึ้นไปนั่นเองทำให้ทีมเลยไม่ได้ เจ้าของแมนยูคนใหม่ สักที
สรุปคือ เกลเซอร์รู้ดีว่าตัวเองคือ เจ้าของสโมสรแมนยู ที่ถือเพชรอยู่ในมือ
ยังมีเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่า ซื้อแมนยูล่าสุด ก็ตอนที่ทีมไปดึงตัว คริสเตียโน โรนัลโด กลับมาเล่นอีกครั้งตอนปี 2021 นั่นแหละค่ะและในที่สุดเขาก็มาอยู่ได้แค่ปีเศษเท่านั้น เขาก็โบกมือลาไปเลยค่ะ ซึ่งต่อมาหลายฝ่ายก็ออกมาบอกว่าทางอดีตผู้จัดการทีมบอกว่าการที่กลับไปเอาโรนัลโด้เข้ามาร่วม ทีมแมนยู ถือเป็นการกระทำที่ผิดอย่างมหันต์ เรียกได้ว่าเป็นการซื้อตัวนักเตะอย่างไร้ทิศทาง
สุดท้ายแล้ว สโมสร แมน ยู ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเกลเซอร์ที่ได้ขายไปให้กับ Jim Ratcleffe ซึ่งมีมูลค่าที่ 1.3 พันล้านปอนด์ซึ่งมันกลายเป็นดีลที่สุดแปลกของ แมนยูล่าสุด คือให้ผู้ที่ถือหุ้นน้อยของ เจ้าของสโมสรแมนยู ได้มีโอกาสบริหารทีมทำให้ฉีกกฎหลายๆ กฎของทีมที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเป็นร้อยปีเลยทีเดียวค่ะ